วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560
บทที่1-4
บทที่1 หลักการและเทคนิคการวัดและประเมินการเรียนรู้
บทที่ 2 การสร้างและการใช้เครื่องมือวัดและประเมินการเรียนรู้
บทที่ 3 การวัดและประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย
บทที่ 4 การประเมินตามสภาพจริง การประเมินจากแฟ้มสะสมงาน และการประเมินภาคปฏิบัติ
วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560
ความหมาย
ความหมายของการทดสอบ
คำว่าการทดสอบ(Testing) การวัดผล (Measurement) และการประเมินผล(Evaluation) เป็นคำที่มักมีผู้นำไปใช้ปะปนกันหรือใช้แทนกันอยู่บ่อยๆ แต่โดยเนื้อแท้แล้วมีความหมายแตกต่างกัน ดังนั้นเพื่อให้เห็นความแตกต่างของความหมายทั้งสามคำ จึงขอให้รายละเอียดดังนี้
การทดสอบมีผู้ให้ความหมายไว้หลายอย่างเช่น
การทดสอบ หมายถึง การนำชุดของคำถามหรือกลุ่มงานใดๆที่เราสร้างขึ้นเพื่อจะชักนำให้ผู้ถูกสอบแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาให้ผู้สอบสังเกตได้และวัดได้(ชวาล แพรัตกุล.2518:100)
ทดสอบ หมายถึง การถามหรือการจัดสถานการณ์ต่างๆที่เป็นสิ่งเร้าให้นักเรียนตอบสนอง (บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์ ม.ป.ป.:95)
การทดสอบ หมายถึง กระบวนการวัดผลอย่างหนึ่งทางด้านจิตวิทยา อันประกอบด้วยแบบทดสอบเป็นเครื่องมือวัดความรู้-ความคิด ทำหน้าที่เป็นสิ่งเร้า ให้นักเรียนแสดงกิจกรรมตอบสนอง ออกมาขนการตอบสนองนี้สามารถกำหนดกฎเกณฑ์แทนเป็นปริมาณหรือตัวเลขได้ซึ่งเรียกว่าคะแนน นั่นเอง (อำนวย เลิศชยันตี.ม.ป.ป.:4)
การทดสอบเป็นการใช้เครื่องมือวัดประเภทหนึ่งที่เรียกว่าแบบทดสอบเพื่อรวบรวมข้อมูลจากผู้ที่ต้องการวัดกระบวนการทดสอบจะอยู่ในช่วงที่ผู้ถูกทดสอบกำลังแสดงพฤติกรรมตอบสนองแบบทดสอบนั้นผู้ใดจะมีความรู้ความสามารถเพียงใดก็ต่อเมื่อผู้นั้นตอบสนองต่อข้อสอบนั้นๆในรูปแบบพฤติกรรมที่สังเกตได้ เช่น พูดอธิบายเล่าเรื่องเขียนตอบหรือปฏิบัติเป็นต้น (ภัทรา นิคมานนท์.2540:8-9)
จากความหมายที่ได้กล่าวมาสรุปได้ว่าการทดสอบหมายถึงการจัดสถานการณ์หรือเครื่องมือต่างๆเพื่อกระตุ้นให้ผู้ถูกทดสอบแสดงพฤติกรรมตอบสนองเพื่อค้นหาคุณลักษณะพฤติกรรมหรือความคิดบางอย่างที่ต้องการ
องค์ประกอบที่สำคัญของการทดสอบมี 4 ประเภทได้แก่ แบบทดสอบ Test ผู้สอบ Organisms ผลการตอบสนองของผู้สอบ Responses และการตรวจให้คะแนน scoring องค์ประกอบทั้ง 4 ประการ
การวัดผลการศึกษา
การวัดผลการศึกษา เป็นการวัดพฤติกรรมหรือคุณลักษณะของผู้เรียน ผู้ที่จะทำการวัดผลการศึกษา จึงควรทำความเข้าใจ ความหมาย ลักษณะการวัด หลักการวัด และหน้าที่ของการวัดผลการศึกษา ดังนี้
1. ความหมายของการวัดผลการศึกษา
การวัดผล (Measurement) มีผู้ให้ความหมายหลายอย่างเช่น
การวัดผล หมายถึง กระบวนการใดๆที่จะให้ได้มาซึ่งปริมาณจำนวนหนึ่งอันมีความหมายแทนขนาดสมรรถภาพนามธรรมที่นักเรียนผู้นั้นมีอยู่ในตน (ชวาล แพรัตกุล.2518:140)
การวัดผล หมายถึง การกำหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์ให้แก่คุณลักษณะของสิ่งนั้นโดยอาศัยเครื่องมือชนิดใดชนิดหนึ่ง (วิราพร พงศ์อาจารย์.ม.ป.ป.:7)
วัดผล หมายถึง กระบวนการหรือวิธีการใดที่จะให้ได้มาซึ่งปริมาณจำนวนหนึ่งอันมีความหมายแทนขนาดสมรรถภาพนามธรรมที่นักเรียนผู้นั้นมีอยู่ในตน (โกวิท ประวาลพฤกษ์ และ สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์.2527:20);
การวัด หมายถึง กระบวนการบอกปริมาณหรือคุณภาพของสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นตัวเลขหรือสัญลักษณ์ใดใดที่ตกลงกันไว้แล้ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณลักษณะของสิ่งที่จะวัดและวัตถุประสงค์ของการวัด(กังวล เทียนกัณฑ์เทศน์.2540:16)
องค์ประกอบของการวัดผล มี 2 ประการ คือ
1.เครื่องมือ เครื่องมือที่ใช้ในการวัดมีมากมายหลายชนิดขึ้นกับสิ่งที่วัดเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม
2. มีกระบวนการกล่าวคือต้องมีขั้นตอนในการวัดดังนี้
2.1 กำหนดจุดมุ่งหมายหรือลักษณะของสิ่งที่วัดว่าจะวัดอะไร
2.2 สร้างหรือเลือกเครื่องมือ/วิธีการที่จะวัดให้สอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการวัด
2.3 ทำการวัด
2.4 ได้ผลการวัดซึ่งอาจจะออกมาเป็นตัวเลขปริมาณสัญลักษณ์หรือข้อมูล
ประเภทการวัดผลแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
(1) การวัดทางด้านกายภาพ เป็นการวัดสิ่งที่มีตัวตน เช่น การวัดความยาว กว้าง หนา ลึก น้ำหนัก
(2) การวัดผลทางด้านจิตวิทยา เป็นการวัดสิ่งที่เป็นนามธรรมไม่มีตัวตนเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ได้แก่ พฤติกรรมมนุษย์ เช่น สติปัญญา ความสนใจ เจตคติ ความถนัด
Bloom’s Taxonomy Revised (2001)
Bloom’s Taxonomy Revised (2001)
เกิดจากการปรับปรุงแนวคิดการแบ่งประเภทการเรียนรู้แบบดั้งเดิมโดยนักการศึกษา
2 ท่านได้แก่ Anderson และ Krathwohl ซึ่งได้ปรับปรุงวัตถุประสงค์ให้พิจารณาเป็น
2 มิติ คือ พิจารณาลักษณะของความรู้ และพิจารณาการเรียนรู้ทางปัญญา 6 ขั้น
* สิ่งที่แตกต่างระหว่างแนวคิดของ Bloom(1956)
กับแนวคิดของ
Anderson
และ
Krathwohl
(2001)คือ
1.) การเพิ่มมิติด้านลักษณะความรู้เพื่อช่วยให้การกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
2.) การปรับรูปแบบคำที่ใช้จากคำนามเป็นคำกิริยา
3.) ขั้นที่ 1 เปลี่ยนจากคำว่า “ความรู้” เป็น “การจำ” , ขั้นที่ 5 เปลี่ยนจาก “สังเคราะห์” เป็น “ประเมิน” และ ขั้นที่ 6 เปลี่ยนจาก “ประเมิน” เป็น “สร้างสรรค์”
1.) การเพิ่มมิติด้านลักษณะความรู้เพื่อช่วยให้การกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
2.) การปรับรูปแบบคำที่ใช้จากคำนามเป็นคำกิริยา
3.) ขั้นที่ 1 เปลี่ยนจากคำว่า “ความรู้” เป็น “การจำ” , ขั้นที่ 5 เปลี่ยนจาก “สังเคราะห์” เป็น “ประเมิน” และ ขั้นที่ 6 เปลี่ยนจาก “ประเมิน” เป็น “สร้างสรรค์”
การพิจารณาลักษณะของความรู้
(Knowledge
Dimension)
** Anderson และ Krathwohl (2001) ได้แบ่งออกเป็น 4 แบบ ได้แก่
1.) ความรู้เกี่ยวกับความเป็นจริง (Factual knowledge)
หมายถึง ความรู้ในสิ่งที่เป็นจริงอยู่ เช่น ความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ และความรู้ในสิ่งเฉพาะต่างๆ
2.) ความรู้ในเชิงมโนทัศน์ (Conceptual knowledge)
หมายถึง ความรู้ที่มีความซับซ้อน มีการจัดหมวดหมู่เป็นกลุ่มของความรู้ และโครงสร้างของความรู้
** Anderson และ Krathwohl (2001) ได้แบ่งออกเป็น 4 แบบ ได้แก่
1.) ความรู้เกี่ยวกับความเป็นจริง (Factual knowledge)
หมายถึง ความรู้ในสิ่งที่เป็นจริงอยู่ เช่น ความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ และความรู้ในสิ่งเฉพาะต่างๆ
2.) ความรู้ในเชิงมโนทัศน์ (Conceptual knowledge)
หมายถึง ความรู้ที่มีความซับซ้อน มีการจัดหมวดหมู่เป็นกลุ่มของความรู้ และโครงสร้างของความรู้
3.) ความรู้ในเชิงวิธีการ (Procedural
knowledge)
หมายถึง ความรู้ว่าสิ่งนั้นๆทำได้อย่างไร ซึ่งรวมถึงความรู้ที่เป็นทักษะ เทคนิค และวิธีการ
4.) ความรู้เชิงอภิปริชาญ (Metacognitive knowledge)
หมาย ถึง ความรู้เกี่ยวกับเรื่องทางปัญญาของผู้เรียนเอง คือความรู้ที่ผู้เรียนจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับการวางแผนและการแก้ปัญหา ไปจนถึงการประเมิน
หมายถึง ความรู้ว่าสิ่งนั้นๆทำได้อย่างไร ซึ่งรวมถึงความรู้ที่เป็นทักษะ เทคนิค และวิธีการ
4.) ความรู้เชิงอภิปริชาญ (Metacognitive knowledge)
หมาย ถึง ความรู้เกี่ยวกับเรื่องทางปัญญาของผู้เรียนเอง คือความรู้ที่ผู้เรียนจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับการวางแผนและการแก้ปัญหา ไปจนถึงการประเมิน
ทักษะความรู้ระดับล่าง——————->ทักษะความรู้ระดับบนสุด
การจำ
(Remembering)เป็นระดับพื้นฐานของการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการนำเอาหรือดึงเอาความรู้
การสืบค้น การเตือนความจำ ได้จากความจำระยะยาวของคนออกมาเพื่อกำหนดการเรียนรู้
ให้พัฒนาต่อไปในระดับที่สูงขึ้น ที่ได้จากความรู้เดิมของคน
จำ เรียกความรู้ที่เกี่ยวข้องจากหน่วยความจำระยะยาว
– ตระหนักถึง
– นึกถึง
การเข้าใจ
(Understanding)ระดับถัดมาเป็นกระบวนการสร้างความรู้อย่างมีความหมาย
จากสื่อ จากการอธิบาย การพูด การเขียน การแยกแยะ การเปรียบเทียบ การจัดหมวดหมู่
หรือการอธิบาย ที่จะนำไปสู่ความเข้าใจในสิ่งที่กำลังเรียนรู้
เข้าใจ กำหนดความหมายของสิ่งที่เรียนจากการเขียนหรือจากสื่อ
– การตีความ
– ยกตัวอย่าง
– จำแนก
– สรุป
– เปรียบเทียบ
– อธิบาย
การประยุกต์ใช้
(Applying) กระบวนการในขั้นต่อมา
เป็นการนำความรู้ความเข้าใจไปประยุกต์ใช้ หรือนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์
ด้วยกระบวนการหรือวิธีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
–
การดำเนินการ
–
การใช้ประโยชน์
การวิเคราะห์
(Analyzing)ระดับต่อมาเป็นกระบวนการนำส่วนต่างๆ
ของการเรียนรู้ มาประกอบเป็นโครงสร้างใหม่ ด้วยการการพิจารณาว่ามีส่วนใด
สัมพันธ์กับส่วนอื่นอย่างไร พิจารณาโครงสร้างโดยรวมของสิ่งที่เรียนรู้
แยกแยะวัตถุประสงค์ที่แตกต่างผ่านการกระบวนการอย่างเป็นระบบ
– ความแตกต่าง
– การจัดรูปแบบ
– วัตถุประสงค์
การประเมินผล
(Evaluating) ตัดสิน
เลือก การตรวจสอบ สิ่งที่ได้จากการเรียน สู่บริบทของตนเอง
ที่สามารถวัดได้
และตัดสินได้ว่าอะไรถูกหรือผิดบนเงื่อนไขและมาตรฐานที่สามารถตรวจสอบได้
บนพื้นฐานของเหตุผลและเกณฑ์ที่แน่ชัด
การสร้างสรรค์
(Creating) ใน ระดับสูงสุดของการเรียนรู้
เพื่อให้ได้องค์ประกอบของสิ่งที่เรียนรู้ร่วมกัน ด้วยการสังเคราะห์ เพื่อเชื่อมโยง
ให้รูปแบบใหม่ของสิ่งที่เรียนรู้หรือโครงสร้างของความรู้ที่ผ่านการวางแผน
และการสร้างหรือการผลิตอย่างเหมาะสม
–
สร้าง
–
การวางแผน
–
การผลิต
บทที่ 7 การวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัยและทักษะพิสัย
การวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัยและทักษะพิสัย
พฤติกรรมทางการศึกษาด้านจิตพิสัย
พฤติกรรมทางการศึกษาด้านจิตพิสัย
เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกอารมณ์ค่านิยมคุณธรรมและจริยธรรมของบุคคลพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัยสามารถจำแนกได้
5 ระดับ คือ การรับรู้การตอบสนอง การสร้างคุณค่าการจัดระบบคุณค่า
และการสร้างลักษณะนิสัยคุณลักษณะด้านจิตพิสัยเป็นสิ่งที่วัดและประเมินได้ค่อนข้างยาก
1 ธรรมชาติของการวัดผลด้านจิตพิสัย
พฤติกรรมด้านจิตพิสัยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึกของบุคคลผู้ที่จะทำการวัดผลด้านนี้จึงควรทำความเข้าใจกับ
ธรรมชาติของการวัดก่อน
1 การวัดด้านจิตพิสัยเป็นการวัดทางอ้อม
การวัดด้านอารมณ์ และความรู้สึกของบุคคล ไม่สามารถวัดได้โดยตรงจากประสาทสัมผัสทั้ง
5
2 คุณลักษณะด้านจิตพิสัย
มีลักษณะเป็นนามธรรม ไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง เช่น ความคิดสร้างสรรค์ ความสนใจ
เจตคติ เป็นต้น
3
การวัดด้านจิตพิสัยมีความคลาดเคลื่อนได้ง่าย
4 การวัดด้านจิตพิสัยไม่มีถูกไม่มีผิด
5 การวัดด้านจิตพิสัยมีวิธีการวัดได้ 2
แบบได้แก่ประเมินตนเองและประเมินโดยผู้อื่น
6 การวัดด้านจิตพิสัยต้องใช้สถานการณ์จำลองเป็นเงื่อนไขให้พูดถูกวัดตอบ
7 การวัดด้านจิตพิสัย
ผู้ตอบสามารถบิดเบือนหรือหลอกผู้ทำได้
8
พฤติกรรมการแสดงออกของคุณลักษณะด้านจิตพิสัย มีทิศทางการแสดงออกได้ 2
ทางในทางตรงกันข้าม เช่น รัก- เกลียด
2 ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือวัดด้านจิตพิสัย
การสร้างเครื่องมือวัดด้านจิตพิสัย
มีขั้นตอนสำคัญดังนี้
2.1 กำหนดคุณลักษณะที่ต้องการวัด
ได้แก่คุณลักษณะด้านความรู้สึก
ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรมต่างๆ
2.2 กำหนดพฤติกรรมชี้บ่ง
เป็นการนำคุณลักษณะที่ต้องการ
วัดมาวิเคราะห์ว่าจะมีพฤติกรรมใดที่จะชี้บ่งคุณลักษณะดังกล่าวให้ชัดเจน
2.2.1
ตัวอย่างการกำหนดพฤติกรรมที่ชี้บ่งคุณลักษณะที่ต้องการวัด
1 นิสัยรักการทำงาน
จะมีพฤติกรรมที่แสดงออกมาให้เห็นได้ เช่น
- เอาใจใส่ กระตือรือร้น
พยายามปรับปรุงงานให้ก้าวหน้า
2 ความรับผิดชอบ
-ทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จครบถ้วนในเวลาที่กำหนด
3 ความขยันหมั่นเพียร
-ช่วยงานครูและโรงเรียน
-สนใจฟังและตอบ
4 ความซื่อสัตย์
-ไม่พูดปด
-ไม่ลักขโมย
5 การมีวินัยในตนเอง
-ทำงานด้วยความตั้งใจแม้ไม่มีครูอยู่ด้วย
2.3 กำหนดวิธีการวัดและเครื่องมือวัด
หลังจากที่ได้กำหนดพฤติกรรมที่ชี้บ่งคุณลักษณะที่ต้องการวัดแล้วขั้นต่อไปจะต้องพิจารณาว่าพฤติกรรมชี้บ่งดังกล่าวเหมาะที่จะใช้เครื่องมือหรือวิธีการวัดผลแบบใดโดยการเลือกใช้เครื่องมือวัดต้องคำนึงถึงคุณลักษณะเฉพาะของเครื่องมือแต่ละประเภทว่าเหมาะที่จะวัดคุณลักษณะใดเหมาะสมกับบุคคลที่ต้องการวัดและเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการใช้งาน
ได้แก่ ใช้สะดวก รวดเร็วง่ายต่อการใช้
2.4 สร้างเครื่องมือวัด
เมื่อเลือกเครื่องมือวัดที่เหมาะสมได้แล้วก็เป็นขั้นการลงมือสร้างเครื่องมือ
โดยการเขียนข้อความในการวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัยจะมี 2 ลักษณะคือ
ข้อความเป็นบวกและข้อความเป็นลบ
2.5 ตรวจสอบคุณภาพ
หลังจากสร้างเครื่องมือเรียบร้อยแล้วก่อนที่จะนำไปวัดจริงให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา
โดยนำข้อความที่เก็บรวบรวมไว้แล้ว
ไปให้ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้รู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ
2.6 ปรับปรุงเครื่องมือ
เมื่อทราบผลการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือผู้สร้างความปรับปรุงเครื่องมือเพื่อให้ได้ข้อคำถามที่มีคุณภาพมากที่สุด
2.7 สร้างเกณฑ์การแปลความหมายและ
จัดทำคู่มือการใช้
ในการสร้างเกณฑ์ในการแปลความหมายจะต้องชัดเจนเข้าใจตรงกัน
3
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย
อาจเป็นเครื่องมือที่ผู้ตอบประเมินตนเอง หรือให้ผู้อื่นเป็นผู้ประเมิน
มีเครื่องมือและวิธีการหลายประเภท อาจใช้ การสังเกต สัมภาษณ์ แบบสอบถาม
พฤติกรรมการศึกษาด้านทักษะพิสัย
พฤติกรรมทางการศึกษาด้านทักษะพิสัยเป็นการวัดความสามารถในการปฏิบัติหรือทักษะของผู้เรียนโดยเน้นให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถในรูปการกระทำจริง
1 ธรรมชาติของการวัดผลด้านทักษะพิสัย
ทักษะพิสัยเป็นการวัดด้านการปฏิบัติของบุคคลผู้ที่จะทำการวัดด้านนี้ควรทำความเข้าใจกับธรรมชาติของการวัดดังนี้(ภัทรา
นิคมานนท์.2541:175-177)
1
พฤติกรรมด้านทักษะพิสัยสามารถประเมินได้ทั้งเป็นกลุ่มและรายบุคคล
2
งานที่ปฏิบัติแตกต่างกันย่อมมีวิธีการวัดที่แตกต่างกัน
3 การวัดภาคปฏิบัติสามารถวัดได้ 3 แบบ
คือ วัดกระบวนการ วัดผลงาน หรือวัดทั้งกระบวนการและผลงานร่วมกัน
4 การวัดผลการปฏิบัติอาจแยกออกได้ 3
ระดับ คือ ระดับพฤติกรรม ระดับผลลัพธ์ และระดับประสิทธิผล
2 ลักษณะการวัดภาคปฏิบัติ
การวัดภาคปฏิบัติสามารถวัด ได้ใน 4
ลักษณะดังนี้(สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์.2529)
2.1
การทดสอบการปฏิบัติด้วยการเขียนตอบ
จะแตกต่างไปจากการสอบโดยทั่วทั่วไปเพราะการทดสอบนี้มุ่งวัดการใช้ความรู้และทักษะ
คำถามส่วนใหญ่เป็นการใช้ความรู้ที่มาจากการเรียนรู้ที่ผ่านมา เช่น
ในรายวิชาการประเมินผลการเรียนอาจจะกำหนดให้ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมดังนี้
-
สร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตรในหน่วยที่
- สร้างข้อสอบตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร
2.2 การทดสอบเชิงจำแนก
เป็นแบบทดสอบที่ผู้เรียนจำแนกเครื่องมือหรือวิธีการที่ใช้ในการปฏิบัติ
2.3 การปฏิบัติเชิงสร้างสถานการณ์
โดยเน้นให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติงานในสถานการณ์ที่เหมือนจริง
เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้ผู้เรียนได้รับอันตราย
หรือทำเครื่องมือราคาแพงเสียหายระหว่างการพัฒนาทักษะ
2.4 การปฏิบัติงานจริง
การปฏิบัติงานจริงถือว่าเป็นการวัดภาคปฏิบัติที่มีระดับความเป็นจริงสูงสุด
นักเรียนจะต้องแสดงตัวอย่างของงานภายใต้สถานการณ์จริง
3 ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือการวัดพฤติกรรมด้านทักษะพิสัย
3.1 การกำหนดพฤติกรรมการเรียนรู้
ซึ่งก่อนที่ผู้สร้างเครื่องมือ
จะกำหนดพฤติกรรมการเรียนรู้ได้ต้องศึกษาหลักสูตรโดยละเอียด
แล้วพยายามแปลงเป้าหมายในหลักสูตรให้เป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่สามารถวัดได้
สังเกตได้
3.2
การกำหนดคุณลักษณะของพฤติกรรมที่ต้องการวัด
เป็นการกำหนดว่าจะให้ผู้เรียนปฏิบัติอะไร
โดยลักษณะงานที่จะให้ปฏิบัติต้องสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนที่กำหนดไว้
มีความยากง่ายพอเหมาะกับผู้เรียน ใช้เวลาในการปฏิบัติอย่างเหมาะสม
โดยควรมีการวิเคราะห์งานที่ต้องปฏิบัติ
3.3
กำหนดวิธีการและเครื่องมือที่ใช้ในการวัด
เป็นการเลือกประเภทของเครื่องมือวัดซึ่งการวัดภาคปฏิบัติการทำได้หลายวิธีดังนี้
3.1.1
ใช้แบบทดสอบข้อเขียนหรือการสอบปากเปล่าการวัดวิธีนี้เหมาะกับงานที่ต้องการวัดความรู้ความสามารถทางทฤษฎีเกี่ยวกับการปฏิบัติงานเพื่อตรวจสอบทักษะความสามารถในงานที่จะทำ
3.3.2
การสร้างสถานการณ์จำลองโดยผู้วัดต้องจัดเตรียมสหการให้คล้ายคลึงกับสถานการณ์ที่เป็นจริง
3.3.3
การวัดผลจากการปฏิบัติจริงโดยอาจจะวัดที่กระบวนการวัดผลงานหรือวัดทั้งสองอย่างร่วมกันการกำหนดเครื่องมือที่ใช้
ในการวัดภาคปฏิบัตินั้นจะต้องสอดคล้องกับวิธีการวัด
3.3.4
สร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวัดผล
โดยจะต้องคำนึงถึงการเลือกเครื่องมือให้เหมาะกับคุณลักษณะที่ต้องการวัดและหลักในการสร้างเครื่องมือประเภทนั้น
3.3.5 ตรวจสอบคุณภาพ
หลังจากสร้างเครื่องมือเรียบร้อยแล้วก่อนที่จะนำไปใช้วัดจริง
ควรตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือวัดก่อนจนแน่ใจว่าเครื่องมือนั้นมีคุณลักษณะที่สำคัญของเครื่องมือที่ดี
3.3.6
ปรับปรุงเครื่องมือเมื่อทราบผลการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือแล้วผู้สร้างควรปรับปรุงเครื่องมือให้พร้อมนำไปใช้ในสถานการณ์จริง
3.3.7 กำหนดวิธีการประเมินผลเพื่อให้สามารถแปลความหมายของคะแนนให้เข้าใจตรงกันเกณฑ์การให้คะแนนควรกำหนดวิธีการตรวจให้คะแนนอย่างละเอียดให้สามารถเข้าใจได้ตรงกัน
4
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดพฤติกรรมด้านทักษะพิสัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดพฤติกรรมด้านทักษะพิสัยจะมีทั้งการทดสอบแบบเขียนตอบหรือการทดสอบเชิงจำแนกและไม่ใช่การทดสอบเป็นการให้ปฏิบัติจริงหรือปฏิบัติเชิงสถานการณ์ในที่นี้จะยกตัวอย่างให้ดูทั้งสองแบบเพื่อเป็นแนวทางนำไปประยุกต์ใช้
4.1 เครื่องมือที่เป็นการสอนภาคปฏิบัติ
ตัวอย่าง การสอบภาคปฏิบัติในวิชาวิทยาศาสตร์
เรื่อง”การทดลองหาปริมาตรของวัตถุ”
อุปกรณ์ ได้แก่ 1.น็อตเหล็ก
2.บีเกอร์บรรจุน้ำ 10
3.ด้าย
4.กระบอกตวงน้ำ 200
คำสั่ง จงหาปริมาณของน็อตเหล็ก
จุดประสงค์ ของการปฏิบัติการนี้ ก็คือ
ต้องการให้นักเรียนออกแบบเพื่อทำการทดลองหาปริมาตรเมื่อมีอุปกรณ์เตรียมไว้
และเป็นการสอบวัดพฤติกรรมการเลือกใช้เครื่องมือให้ถูกต้องการให้คะแนนครูควรทำการทดลองเพื่อคำนวณหาค่าปริมาตรก่อน เพราะนักเรียนแต่ละคนอาจทดลองได้ค่าปริมาตร คาดเคลื่อนแตกต่างกัน
ครูจึงควรกำหนดค่าใกล้ที่สุดได้คะแนนสูงสุดค่า ที่ไกลจากเกณฑ์ก็ให้ คะแนนลดน้อยลงไปตามลำดับ
4.2 เครื่องมือที่ไม่ใช้ในการทดสอบ
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดและประเมินผลด้านทักษะพิสัยนอกจากเครื่องมือที่ใช้การทดสอบยังมีเครื่องมืออื่นๆอีกหลายประเภทซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะและโอกาสการใช้ที่แตกต่างกันเครื่องมือที่นิยมใช้มีดังนี้
4.2.1 แบบสำรวจรายการ
เป็นเครื่องมือที่ใช้ประกอบการสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนสามารถตรวจให้คะแนนได้ทั้งส่วนที่เป็นกระบวนการและส่วนที่เป็นผลงาน
4.2.2 มาตราส่วนประมาณค่า ลักษณะจะคล้ายกับแบบตรวจสอบรายการ
กล่าวคือในมาตราส่วนประมาณค่า
มีรายการที่แสดงถึงรายละเอียดของกระบวนการหรือผลงานเช่นเดียวกันแต่ในการประเมินผู้ประเมินจะพิจารณาจาก
การปฏิบัติงานของผู้เรียนว่าได้มีการปฏิบัติงานตามกระบวนการหรือมีผลงานตามรายการที่ระบุไว้แต่ละรายการอยู่ในระดับใด
4.2.3ระเบียนพฤติการณ์เป็นแบบบันทึกพฤติกรรมที่ได้จากการสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนตามที่เกิดขึ้นจริงในระหว่างเรียนหรือนอกห้องเรียน
โดยสังเกตจะบันทึกรายละเอียดพฤติกรรมตามที่สังเกตได้เท่านั้นจะไม่บันทึกส่วนที่เป็นความรู้สึกนึกคิดหรือความคิดเห็นของตนลงไปด้วย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)