หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560

บทที่ 6 เครื่องมือและวิธีการที่ใช้ในการวัดผลการศึกษา

เครื่องมือและวิธีการที่ใช้ในการวัดผลการศึกษา
การสังเกต
     การสังเกต หมายถึง การพิจารณาปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยใช้ประสาทสัมผัสของผู้สังเกต
การสังเกตจะมีความเที่ยงตรง ต้องขึ้นกับองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
1.สิ่งที่จะสังเกต มีทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม เช่น อารมณ์ ความรู้สึก
2.ผู้สังเกต จะต้องมีความตั้งใจจริง สนใจเฉพาะเรื่องที่กำลังสังเกต
3.ผู้ถูกสังเกต การสังเกตที่ดีผู้ถูกสังเกตจะต้องไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกสังเกต เพราะอาจจะไม่ได้พฤติกรรมที่เป็นธรรมชาติ
1).ประเภทของการสังเกต
การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation)
ก. การสังเกตแบบมีส่วนร่วมโดยสมบูรณ์ (Complete Participant) ผู้สังเกตจะเข้าไปมีส่วนร่วมกิจกรรมต่างๆ อย่างเต็มที่
ข. การมีส่วนร่วมในฐานะที่เป็นผู้สังเกต (Participant as Observer) ผู้สังเกตจะไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับงานวิจัย
ค. การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วมโดยสมบูรณ์ (Observer as Participant) ผู้สังเกตใช้วิธีการสังเกตและสัมภาษณ์เป็นหลักโดยพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมให้น้อยที่สุด
ประเภท ก. ปิดบังวัตถุประสงค์แท้จริงของตนเอง
ประเภท ข. และ ค. อาจอึดอัดใจบทบาทที่ขัดแย้งกันระหว่างการเป็นผู้วิจัยและการเป็นผู้มีส่วนร่วมในกิจกรรม

การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม ( Non- participant Observation) เป็นการสังเกตที่ผู้วิจัยเฝ้าสังเกตอยู่วงนอก ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมกลุ่มที่ทำการศึกษา เป็นเพียงเฝ้าสังเกตพฤติกรรมทางสังคมที่เกิดขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เคยเป็น
2.หลักทั่วไปในการสังเกต
        การสังเกตแบบไม่มีเค้าโครงกำหนดล่วงหน้า (Unstructured Observation หรือSimple Observation)
ข้อดี คือ ทำให้ผู้สังเกตสามารถเก็บรายละเอียดในสถานการณ์ไว้ได้มากกว่าการที่มีการกำหนดเรื่องไว้แน่นอน และสามารถพัฒนาไปสู่การแยกประเภทและจัดหมวดหมู่ข้อมูล เพื่อกำหนดเค้าโครงของการสังเกตแบบมีเค้าโครงต่อไป
จุดอ่อน คือ ผู้วิจัยเข้าไปมีส่วนร่วมในสถานการณ์โดยไม่มีการกำหนดเรื่องไว้แน่นอน หรือกำหนดปัญหาเฉพาะหน้าไว้ก่อน
      การสังเกตแบบกำหนดเค้าโครงล่วงหน้า (Structured Observation หรือSystematic Observation)
ผู้สังเกตกำหนดเรื่องไว้เฉพาะว่าจะสังเกตเรื่องอะไร จะไม่สังเกตเหตุการณ์อื่นใดที่นอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้
เป็นการสังเกตที่ควบคุมสถานการณ์ของการสังเกตได้
วิธีการสังเกตแบบนี้จะมีการจัดแยกข้อมูลไว้เป็นหมวดหมู่ เพื่อสะดวกในการจดบันทึก
3.คุณสมบัติของผู้สังเกตที่ดี
มีความรอบรู้ในเรื่องที่สังเกต ก่อนลงมือสังเกต ควรศึกษาจุดมุ่งหมายของการสังเกต ความรู้เกี่ยวกับบุคคลหรือปรากฏการณ์ที่จะสังเกต เข้าใจวิธีการสังเกตตลอดจนวิธีการบันทึกการสังเกตเป็นอย่างดี
มีความตั้งใจในการสังเกต ควบคุมสมาธิให้จดจ่อกับเรื่องที่สังเกตได้ตลอดเวลา และต้องสังเกตทุกอย่างจนครบถ้วนอย่างถูกต้อง
มีประสาทสัมผัสดี และร่างกายมีความพร้อมที่จะสังเกต
มีความไวในการรับรู้ สามารถแปลและสื่อความหมายได้ถูกต้อง
มีความเป็นกลาง ไม่ลำเอียงหรือมีอคติต่อบุคคลหรือพฤติกรรมที่สังเกตได้
4.ข้อดีและข้อจำกัดของการสังเกต
ข้อดีของการสังเกต
ได้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลโดยตรง
ไม่รบกวนหรือก่อความรำคาญให้แก่ผู้ถูกสังเกต เพราะการสังเกตที่ต้องไม่ให้ผู้ถูกสังเกตรู้ตัว
ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตมีความน่าเชื่อถือ เพราะรวบรวมมาจากสถานการณ์จริง
ในกรณีที่เป็นการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม ผู้สังเกตสามารถบันทึกข้อมูลได้ทันท่วงทีในขณะที่กำลังสังเกต
ข้อจำกัดของการสังเกต
ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความสามารถส่วนตัวของผู้สังเกตเป็นอย่างมาก
การสังเกตไม่สามารถทำได้ทุกเรื่อง บางทีอาจต้องใช้วิธีการสังเกตทางอ้อม หรือการสัมภาษณ์แทน
เสียเวลาในการรอคอยรวบรวมข้อมูล หรือในทางตรงกันข้ามบางครั้งเหตุการณ์ต่างๆที่ต้องการสังเกตเกิดขึ้นพร้อมๆกันจนไม่สามารถสังเกตได้ทั่วถึง
พฤติกรรมบางอย่างยากแก่การเข้าใจ การตีความ อาจถูกหรือผิดก็ได้
การสังเกตอาจขึ้นอยู่กับอารมณ์ในขณะที่สังเกต แรงจูงใจ ความสามารถ หรือความรู้สึกส่วนตัวต่อผู้ถูกสังเกต
การสัมภาษณ์
การสัมภาษณ์ หมายถึง การสนทนา หรือการเจรจาโต้ตอบกันอย่างมีจุดมุ่งหมาย หากมีข้อสงสัยหรือคำถามใดไม่ชัดเจนก็ถามซ้ำหรืทำความชัดเจนได้ เช่น ท่วงที วาจา อุปนิสัย เจตคติ
1.ประเภทของการสัมภาษณ์
1.1 แบ่งตามลักษณะของการสัมภาษณ์ แบ่งการสัมภาษณ์เป็น 2 ประเภท คือ
        1.1.1 การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง เป็นแบบให้เลือกตอบ เช่น ใช่หรือไม่ใช่ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย
          1.1.2 การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง เป็นการสัมภาษณ์ที่ไม่มีแบบกำหนดไว้ตายตัว โดยที่ผู้ถามหรือผู้สัมภาษณ์ตั้งคำถามที่เปิดโอกาสให้ผู้ตอบได้แสดงความรู้สึกและความคิดเห็นได้โดยอิสระ
1.2 แบ่งตามจำนวนผู้ให้สัมภาษณ์ จะแบ่งการสัมภาษณ์เป็น 2  ประเภท คือ
       1.2.1 การสัมภาษณ์เป็นรายบุคคล เป็นการสัมภาษณ์ที่มีผู้สัมภาษณ์เพียงคนเดียว
       1.2.2 การสัมภาษณ์เป็นกลุ่ม เป็นการสัมภาษณ์ที่มีผู้ให้สัมภาษณ์หลายคน
2.หลักทั่วไปในการสัมภาษณ์
1 กำหนดจุดประสงค์และขั้นตอนในการสัมภาษณ์ให้ชัดเจน
2 ผู้สัมภาษณ์ต้องเตรียมตัวและวัสดุอุปกรณ์ไปให้พร้อมต้องหาความรู้ในเรื่องที่จะสัมภาษณ์
3 กำหนดให้ผู้สัมภาษณ์
4 ขณะสัมภาษณ์ต้องสร้างความสัมพันธ์คุ้นเคยและเป็นกันเองกับผู้ให้สัมภาษณ์
5 ขนาดสัมภาษณ์ต้องพูดคุยหรือสร้างบรรยากาศที่ยั่วยุ
6 คำถามที่ใช้สัมภาษณ์ต้องจัดเรียงไว้ตามลำดับก่อนหลัง
7 ภาษาที่ใช้สัมภาษณ์ต้องเหมาะสมกับวัยและฐานะของผู้ให้สัมภาษณ์
8 การบันทึกผลการสัมภาษณ์
3.ข้อดีและข้อจำกัดของการสัมภาษณ์
ข้อดีของการสัมภาษณ์
1 รวบรวมข้อมูลได้หลายอย่างเช่นข้อมูลส่วนตัวสีหน้าท่าทางวาจาปฏิภาณไหวพริบเป็นต้น
2 ข้อมูลที่ได้มีความคลาดเคลื่อนน้อยเชื่อถือได้มากเพราะการสัมภาษณ์ได้เห็นมาโดยตรง
3 สามารถปรับคำตอบให้ชัดเจนได้ถ้าสงสัยอะไรหรือไม่เข้าใจคำถามก็สามารถสอบถามทบทวนกันได้ทันที
ข้อจำกัดของการสัมภาษณ์
1 สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายเวลาและแรงงานมาก
2 ในบางครั้งได้ข้อมูลที่ไม่จริงเนื่องจากผู้ตอบเกิดความกลัวความอายกระวนกระวายใจหรือมีความเครียดเกิดขึ้นในระหว่างการสัมภาษณ์
3 ข้อมูลที่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้สัมภาษณ์
4ยากที่จะขจัดความลำเอียงของผู้สัมภาษณ์ออกจากผลการสัมภาษณ์ได้เช่นความนิยมชมชอบผู้นั้นอยู่ก่อนแล้วเป็นต้น
5 ภาษามีผลต่อการสัมผัสด้วย
แบบสอบถาม
แบบสอบถามเป็นชุดของข้อความหรือข้อคำถามที่สร้างขึ้นมาเพื่อสอบถามความคิดเห็น  ความต้องการ  ความสนใจ  เจตคติ  ของผู้ตอบที่มีต่อสิ่งที่ผู้สร้างต้องการทราบ
1.รูปแบบของแบบสอบถาม
แบบสอบถามมีรูปแบบที่นิยมใช้ 3 แบบ  คือ
            1. แบบสอบถามชนิดปลายเปิด (Open  Form)  เป็นแบบสอบถามที่ไม่ได้กำหนดคำตอบไว้  ผู้ตอบจะตอบคำถามตามความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่  เช่น  ทำไมท่านจึงเลือกเรียนที่สถาบันการพลศึกษาวิทยาเขตชุมพร  ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรต่อครูผู้สอน  เป็นต้น
            2. แบบสอบถามชนิดปลายปิด (Close Form) เป็นแบบสอบถามที่จำกัดคำตอบให้ผู้ตอบเลือกคำตอบตามแบบที่กำหนดให้เท่านั้น  แบบสอบถามชนิดปลายปิด  แบ่งได้ 3 แบบ  ดังนี้
                2.1 แบบสำรวจรายการ(Check  List) แบบสอบถามชนิดนี้ต้องการทราบข้อเท็จจริงต่าง ๆ จากผู้ตอบ  โดยไม่มีการประเมินระดับของความรู้สึก  หรือข้อเท็จจริงนั้น  ต้องการให้ตอบแต่เพียงว่า  มี - ไม่มี  เห็นด้วย - ไม่เห็นด้วย  เชื่อ - ไม่เชื่อ  ใช่ - ไม่ใช่  เช่น
                      สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชุมพรเป็นสถานที่น่าเรียน  ( )ใช่
 ( ) ไม่ใช่
                      เรียนที่สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตชุมพรแล้วภูมิใจ      ( ) เห็นด้วย   ( ) ไม่เห็นด้วย
               2.2 แบบมาตราส่วนประมาณค่า  (Rating  Scale)  แบบสอบถามชนิดนี้มีลักษณะคำถามคล้ายกับแบบสำรวจรายการ  แต่เปลี่ยนแปลงลักษณะการตอบให้มีมากระดับขึ้น  โดยผู้ตอบต้องประเมินว่าตนมีคุณลักษณะนั้น ๆ มากน้อยเพียงใด  ระดับของการประเมินจะมีกี่ระดับ  ขึ้นอยู่กับผู้วัดว่าจะต้องการผลละเอียดเพียงใด  ที่นิยมใช้กันมากมี  3  หรือ 5 ระดับ
3. แบบจัดอันดับความสำคัญ  แบบสอบถามชนิดนี้ต้องการให้ผู้ตอบจัดเรียงอันดับความสำคัญของข้อคำถามตามความรู้สึกของผู้ตอบ เช่น
                ท่านมีความต้องการอุปกรณ์การเรียนการสอนในโรงเรียน  ในเรื่องใดมาก (โปรดเรียงอันดับตามความต้องการ)
                        รายการความต้องการ                        อันดับความต้องการ
                        1. เครื่องฉายภาพข้ามศรีษะ                      ……………………
                        2. สไลด์                                                    ……………………
                        3. เครื่องฉายภาพทึบแสง                         ……………………
                        4. ปากกาเขียนแผ่นใส                              ……………………
                        5. ลูกฟุตบอล                                           ……………………
                        6. ลูกวอลเลย์บอล                                   ……………………
                        7. ลูกขนไก่                                               ……………………
                        8. ลูกเทนนิส                                             ……………………
                        9. ลูกตะกร้อ                                             ……………………
                        10. อื่น ๆ (โปรดระบุ)                                ……………………
             2. หลักเกณฑ์ในการสร้างแบบสอบถาม
              การสร้างแบบสอบถามแต่ละชุดให้มีคุณภาพดีนั้น  เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและต้องมีหลักเกณฑ์พอสมควร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเป็นต้องคำนึงเสมอว่าแบบสอบถามนั้นต้องสามารถให้ข้อมูลหรือการวัดได้ตรงกับสภาพความเป็นจริงของผู้ตอบให้มากที่สุด  โดยควรกระทำตามขั้นตอนให้ถูกต้องดังนี้
             1.  กำหนดขอบข่ายของสิ่งที่จะถามโดยกำหนดเป็นหัวข้อใหญ่  หรือเป็นด้าน ๆ
             2.  กำหนดคำถามหรือข้อความในแต่ละด้านเพื่อถามรายละเอียดในแต่ละด้าน 
             3.  พิจารณาและจัดอันดับข้อคำถามจากคำถามที่น่าสนใจไปสู่คำถามที่เป็นปัญหาลึกซึ้ง
             4. จัดวางรูปแบบและคำชี้แจงให้สะดวกในการตอบ  อธิบายให้ผู้ตอบเห็นความสำคัญและให้ผู้ตอบมั่นใจได้ว่าการตอบนี้ไม่กระทบกระเทือนต่อสถานภาพของตนเอง
             5. ควรมีการประเมินแบบสอบถามก่อนนำไปใช้  โดยพิจารณาถึงข้อคำถาม  รูปแบบคำชี้แจง  มีความเหมาะสมหรือไม่
3.ข้อดีและข้อจำกัดของแบบสอบถาม
ข้อดีแบบสอบถาม
 1.  สิ้นเปลืองเวลาน้อย  โดยสามารถใช้ถามคนจำนวนมาก ๆ ในเวลาเดียวกันได้
 2.  สามารถให้ผู้ตอบเลือกตอบได้ตามเหตุผลของตนเองมีทางที่จะปรับปรุงแบบสอบถามให้ดีขึ้นได้โดยใช้เทคนิคทางสถิติ

ข้อจำกัดของแบบสอบถาม
            1. ไม่อาจหวังในความร่วมมือจากผู้ตอบได้เต็มที่ 
            2. ข้อคำถามมีโอกาสตีความได้หลายแง่หลายมุมอยู่บ่อย ๆ
            3. บางครั้งอาจต้องใช้คำถามยาว ๆ หลาย ๆ ข้อจึงจะครอบคลุมเนื้อหาที่ต้องการ  ซึ่งทำให้เกิดความรำคาญแก่ผู้ตอบและเสียเวลาในการตอบ
           4. การตอบคำถามขึ้นอยู่กับความจริงใจของผู้ตอบ  ถ้าผู้ตอบตอบด้วยความไม่จริงใจ  ก็จะได้ข้อมูลที่เชื่อถือไม่ได้
ลักษณะของเครื่องมือวัดผลที่ดี
1.ความเที่ยงตรง(validity) ในการสร้างแบบทดสอบหรือเครื่องมือวิจัยสําหรับเก็บข้อมูล มักจะกล่าวถึงความเที่ยงตรง ซึ่งมักจะมีความหมายและรายละเอียดดังนี้
1.1 ความเที่ยงตรงตามเนื้อหา (content  validity) หมายถึง การวัดนั้นสามารถวัดได้ครอบคลุมเนื้อหาและวัดได้ครบถ้วนตามจุดประสงค์ของการวัด ในทางปฏิบัติมักจะต้องทําตารางจําแนกเนื้อหา จุดประสงค์ ตามที่ต้องการก่อนจะทําการออกข้อสอบหรือแบบวัด
1.2 ความเที่ยงตรงเชิงสัมพันธ์ (criterion-related  validity) แบ่งการออกเป็น 2 ลักษณะคือ
1.3 ความเที่ยงตรงเชิงพยากรณ์ (predictive validity) คือ ค่าคะแนนจากแบบสอบสามารถทํานายถึงผลการเรียนในวิชานั้นๆ ได้อย่างเที่ยงตรง
1.4. ความเที่ยงตรงตามสภาพ (concurrent  validity) หมายถึง ค่าคะแนนที่ได้จากแบบสอบสะท้อนผลตรงตามสภาพเป็นจริง กล่าวคือ เด็กเก่งจะได้คะแนนสอบสูง ส่วนเด็กอ่อนจะได้คะแนนต่ำจริง
1.5 ความเที่ยงตรงตามโครงสร้าง (construct validity) หมายถึง คะแนนจากแบบวัดมีความสอดคล้องกับลักษณะและพฤติกรรมจริงของเด็ก เช่น สอดคล้องกับความรู้ ความีเหตุผล ความเป็นผู้นํา เชาว์ปัญญา เป็นต้น

2. ความเชื่อมั่น (reliability) แบบทดสอบที่ดีต้องมีความเชื่อมั่นได้ว่าผลจากการวัดคงที่แน่นอน ไม่เปลี่ยนไปมา การวัดครั้งแรกเป็นอย่างไร เมื่อวัดซ้ำอีกโดยใช้แบบทดสอบชุดเดิมผู้ถูกทดสอบกลุ่มเดิม จะวัดกี่ครั้งก็ได้ตามผลการวัดควรจะเหมือนเดิมหรือใกล้เคียงเดิม สอดคล้องกัน
3. ความเป็นปรนัย (objectivity)ความเป็นปรนัยหมายถึง ความชัดเจน ความถูกต้อง ความเข้าใจตรงกัน โดยยึดถือความถูกต้องทางวิชาการเป็นเกณฑ์ การสร้างแบบทดสอบใดๆ จำเป็นต้องมีความชัดเจนเข้าใจตรงกันระหว่างผู้ออกข้อสอบและผู้ทำข้อสอบ
ความเป็นปรนัยพิจารณาได้ 3 ประการ คือ
1 ผู้อ่านข้อสอบทุกคนเข้าใจตรงกัน
2 ผู้ตรวจทุกคนให้คะแนนได้ตรงกัน
3 แปลความหมายของคะแนนได้ตรงกัน
4. ความยากง่าย (Difficulty) ความยากง่ายของข้อสอบพิจารณาได้จากผลการสอบของผู้สอบเป็นสำคัญ  ข้อสอบใดที่ผู้สอบส่วนมากตอบถูก  ค่าคะแนนเฉลี่ยของข้อสอบสูงกว่า 50% ของคะแนนเต็มอาจกล่าวได้ว่าเป็นข้อสอบที่ง่ายหรือค่อนข้างง่ายข้อสอบที่มีความยากง่ายพอเหมาะ คะแนนเฉลี่ยของข้อสอบควรมีประมาณ 50% ของคะแนนเต็มค่าคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่า 50% แสดงว่าเป็นข้อสอบค่อนข้างยาก ข้อสอบที่ดีควรมีความยากง่ายพอเหมาะ ไม่ยากหรือง่ายเกินไป ข้อสอบฉบับหนึ่ง ควรมีผู้ตอบถูกไม่ต่ำกว่า  20 คนและไม่เกิน  80 คนจากผู้สอบ 100 คน นั่นคือค่า P อยู่ระหว่าง.20-.80 จึงถือว่าเป็นข้อสอบที่มีค่าความยากง่ายพอเหมาะ
5. อำนาจจำแนก (Discrimination) อำนาจจำแนก คือ ลักษณะของแบบทดสอบที่สามารถแบ่งเด็กออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ทุกระดับตั้งแต่อ่อนสุดจนถึงเก่งสุด  แม้ว่าจะเก่งอ่อนกว่ากันเพียงเล็กน้อยก็สามารถชี้จำแนกให้เห็นได้ข้อสอบที่มีอำนาจจำแนกสูงนั้น  เด็กเก่งมักตอบถูกมากกว่าเด็กอ่อนเสมอ  ข้อสอบที่ทุกคนทำถูกหมดจะไม่สามารถบอกอะไรเราได้เลย หรือผิดหมดไม่สามารถบอกได้ว่าใครเก่งหรืออ่อน
6. ความมีประสิทธิภาพ (Efficiency) เครื่องมือวัดผลที่มีประสิทธิภาพ หมายถึง เครื่องมือที่ทำให้ได้ข้อมูลได้ ถูกต้องเชื่อถือได้โดยลงทุนน้อยที่สุดไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในแง่เวลา  แรงงาน และทุนทรัพย์รวมทั้งความสะดวกสบายคล่องตัวในการรวบรวมข้อมูล  ข้อสอบที่มีประสิทธิภาพสามารถให้คะแนนได้เที่ยงตรงและเชื่อถือมากที่สุดโดยใช้เวลาแรงงานและเงินน้อยที่สุด แต่ประโยชน์ ที่ได้จากการสอบคุ้มค่า  ข้อสอบที่พิมพ์ผิดตกหล่นมาก  จำนวนหน้าไม่ครบ รูปแบบของแบบทดสอบเรียงไม่เป็นระเบียบทำให้ผู้สอนเกิดความสับสน มีผลต่อคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบทั้งสิ้น การจัดรูปแบบของข้อสอบปรนัยแบบเลือกตอบเพื่อให้ดูง่ายมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยนิยมพิมพ์แบ่งครึ่งหน้ากระดาษ
7. ความยุติธรรม (Fair) ความยุติธรรม ข้อสอบทีดีต้องไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้เปรียบเสียเปรียบกัน เช่น ข้อสอบบางฉบับครูไปเน้นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งตรงกับเรื่องที่เด็กทำรายงานในบางกลุ่ม  ทำให้กลุ่มนั้นได้เปรียบคนอื่นๆ ข้อสอบบางข้อใช้คำถามหรือข้อความที่แนะคำตอบ ทำให้นักเรียนใช้ไหวพริบเดาได้การใช้ข้อสอบแบบอัตนัยเพียง 5 หรือ 10 ข้อมาทดสอบเด็กนั้น ไม่อาจสร้างความยุติธรรมในการสอนให้แก่เด็กได้  เพราะผู้สอบมีโอกาสเก็งข้อสอบได้ถูกมากกว่าแบบปรนัยที่ถามถึง 100 ข้อ
8. คำถามถามลึก (Searching) ข้อสอบที่ถามลึกไม่ถามแต่เพียงความรู้ความจำเท่านั้น แต่จะถามวัดความเข้าใจการนำความรู้ที่ได้เรียนไปแล้วมาแก้ปัญหา วิเคราะห์ ตลอดจนสร้างสรรค์ สิ่งใหม่ขึ้นมาจนท้ายที่สุดคือ การประเมินผลคำถามที่ถามลึกนั้นผู้ตอบต้องคิดค้นก่อนจึงจะสามารถหาคำตอบได้  มิใช่เพียงแต่ระลึกถึงประสบการณ์ต่างๆ เพียงตื้น ๆ ก็ตอบปัญหาได้  แต่เป็นแบบทดสอบที่วัดความลึกซึ้งทางวิชาการตามแนวดิ่งมากกว่าจะวัดตามแนวกว้าง
9. คำถามยั่วยุ (Exemplary) คำถามยั่วยุ ได้แก่ คำถามที่มีลักษณะท้าทายให้เด็กอยากคิดอยากทำ มีลีลาการถามที่น่าสนใจ  ไม่ถามวนเวียนซ้ำซากน่าเบื่อหน่าย  การใช้รูปภาพประกอบก็เป็นวิธีหนึ่ง ที่ทำให้ข้อสอบน่าสนใจ ข้อสอบที่ยากเกินไปทำให้ผู้สอบหมดกำลังใจที่จะทำ ส่วนข้อสอบที่ง่ายเกินไป ก็ไม่ท้าทายให้อยากทำ  การเรียงคำถามจากข้อง่ายไปหายากเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ข้อสอบมีลักษณะท้าทายน่าทำ
10. จำเพาะเจาะจง (Definite) คำถามที่ดีต้องไม่ถามกว้างเกินไป ไม่ถามคลุมเครือหรือเล่นสำนวนให้เด็กงง เด็กอ่านแล้วต้องเข้าใจชัดเจนว่าครูถามอะไร ส่วนจะตอบได้หรือไม่อยู่ที่ความสามารถของผู้ตอบเป็นสำคัญ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น